วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

Phylum Chordata


มีเนื้อเยื่อ 3 ชั้น (Triploblastica animal) มีสมมาตรแบบ Bilateral symmetry มีทางเดินอาหารแบบสมบูรณ์ (Complete digestive tract) มีช่องว่างในลำตัวแบบแท้จริง (True coelom)
มีระบบหมุนเวียนเลือดและเป็นแบบวงจรปิด (Close Circulatory System) มี Notochord เป็นแกนพยุงร่างกายซึ่งอาจจะมีในระยะตัวอ่อนหรือตลอดชีวิตก็ได้ แล้วมีกระดูกสันหลังมาแทนที่คือ มีไขสันหลัง (Nerve cord หรือ Spinal cord) ซึ่งเป็นเส้นประสาทอยู่ในหลอดกลวงของกระดูกสันหลัง ดังนั้นไฟลัมนี้จึงเป็นพวก Endoskeloton มีโครงร่างแข็งอยู่ภายใน มีระบบประสาทอยู่ด้านหลัง (Dorsal) อยู่เหนือทางเดินอาหาร มีช่องเหงือก (Gill slit) เป็นคู่ ๆ อยู่บริเวณคอหอย จะเห็นได้ชัดในระยะเอมบริโอ ในระยะต่อมาจะมีส่วนที่มาปิดช่องเหงือก ยกเว้นพวกปลา จะยังคงเห็นช่องเหงือกอยู่ แต่ปลาส่วนใหญ่ก็มีแผ่นแก้มมาปิดแต่ก็ยังคงมีช่องเหงือกอยู่ มีหัวใจอยู่ทางด้านท้อง (Ventral)

สัตว์ในไฟลัมนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มได้แก่
1. พวกที่ไม่มีกระดูกสันหลัง เรียกว่า Protochordata
1.1 Sub-Phylum Urochordata มีลักษณะคือ ตัวอ่อนมี Notochord เป็นแกนของร่างกายอยู่บริเวณหาง และมีช่องเหงือก เมื่อเจริญเติบโตเต็มวัย ส่วนหางจะหลุดไป จึงไม่มี Notochord เหลืออยู่ ลักษณะที่สำคัญคือมีปลอกหุ้มอยู่รอบตัวเป็นสารจำพวกเซลลูโลส ได้แก่เพรียงลอย เพรียงหัวหอม เพรียงลาย
1.2 Sub-Phylum Cephalochordata สัตว์จำพวกนี้มี Notochord ยาวตลอดลำตัว และยาวเลยไปถึงหัวด้วย และจะมีอยู่ตลอดชีวิต ได้แก่ แอมฟิออกซัส (Amphioxus)
2. พวกที่มีกระดูกสันหลัง ได้แก่ Sub-Phylum Vetebrata มีลักษณะสำคัญดังนี้
เป็นสัตว์ชั้นสูงมีจำนวนมาก มี Notochord ในระยะเอมบริโอ ต่อมามีกระดูกสันหลังมาแทนที่ (ยกเว้นปลาปากกลม) มีรยางค์ 2คู่(ยกเว้นปลาปากกลม) มีเม็ดเลือดแดง มีช่องเหงือกบริเวณคอหอย ในระยะตัวอ่อนแต่เมื่เจริญเติบโตขึ้นช่องเหงือกจะปิด และมีปอดขึ้นมาแทน

สามารถแบ่งได้ 7 Class ดังนี้
1. Class Cyclostomata หรือ Class Agnatha ได้แก่ ปลาปากกลม พวกนี้ไม่มีขากรรไกร ลำตัวยาวคล้ายปลาไหล ขอบบนของปากและปลาลิ้นมีฟันเล็ก ๆ แหลมคมมากมาย ลำตัวนิ่ม ไม่มีเกล็ด ไม่มีครีบคู่เหมือนปลาทั่วไป เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่มีโนโตคอร์ดปรากฏอยู่ตลอดแม้ในระยะตัวเต็มวัย มีช่องเหงือก 7คู่ สำหรับหายใจ
2. Class Chondricthyes ได้แก่ ปลากระดูกอ่อนทั้งหลาย มีช่องเหงือกเห็นชัดเจนจากภายนอก มีครีบคู่หรือครีบเดี่ยว มีเกล็ดลักษณะคล้ายจานยื่นออกมา ไม่มีกระเพาะลม มีปากอยู่ด้านท้อง มีการปฏิสนธิภายใน เป็นสัตว์เลือดเย็นเช่น ปลากระเบน ปลาฉลาม ปลาโรนัน ปลากระต่าย ปลาฉนาก
3. Class Osteicthyes ได้แก่ปลากระดูกแข็งทั้งหลาย มีแผ่นแก้มปิดช่องเหงือกเอาไว้ มีเกล็ดบาง ๆ เรียงเหลื่อมกันคล้ายแผ่นกระเบื้องมุงหลังคา กระดูกภายในเป็นกระดูกแข็ง มีกระเพาะลม ปากอยู่ปลายสุดทางหัว ส่วนใหญ่ปฏิสนธิภายนอกร่างกาย เป็นสัตว์เลือดเย็น มีหัวใจ 2 ห้อง ได้แก่ ปลาช่อน ปลาดุก ปลาทู ปลาตะเพียน ม้าน้ำ ฯลฯ
4. Class Amhibia ได้แก่ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ มี 4 ขา มี 5 นิ้ว ปลายนิ้วไม่มีเล็บ ตัวอ่อนอยู่ในน้ำหายใจด้วยเหงือก ตัวเต็มวัยอยู่บนบกหายใจด้วยปอด มีหัวใจ 3 ห้อง ออกไข่ในน้ำ ผิวหนังไม่มีเกล็ด ผิวหนังเปียกชื้น มีต่อมเมือก ผสมพันธุ์ภายนอก มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเพื่อการเจริญเติบโตเป็นสัตว์เลือดเย็น ได้แก่ คางคก เขียด อึ่งอ่าง ปาด กบ งูดิน ซาลาแมนเดอร์
5. Class Reptilia ได้แก่สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ในคลาสนี้เป็นสัตว์บก หรือวางไข่บนบก มี 4 ขา ปลายนิ้วมีเล็บ ผิวหนังมีเกล็ดแห้ง หายใจด้วยปอด มีอายุยืน มีหัวใจ 4ห้อง เป็นสัตว์เลือดเย็น มีวิวัฒนาการคือ มีเปลือกแข็งหุ้มลำตัว ไข่มีเปลือกแข็งและเหนียว มีถุงแอลเลนทอยส์ ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนก๊าซขณะเจริญเติบโตในไข่ เช่น เต่า จระเข้ ตุ๊กแก จิ้งเหลน จิ้งจก งู กิ้งก่า ฯลฯ
6. Class Aves ได้แก่ สัตว์ปีก เป็นสัตว์เลือดอุ่น ลำตัวมีขน (Feather) ปกคลุม ขามี 2ข้าง ปลานิ้วมีเล็บ ขาหน้าเปลี่ยนแปลงเป็นปีก กระดูกบางเป็นโพรง จึงมีน้ำหนักตัวเบา มีถุงลม () แทรกไปตามช่องว่างของลำตัว และตามโพรง ซึ่งทำให้มีอากาศมากพอที่จะหมุนเวียนใช้หายใจเวลาบิน มีหัวใจ 4 ห้อง ไข่มีเปลือก แข็งหุ้ม มีปริมาณไข่แดงมาก ไม่มีกระเพาะปัสสาวะ ไม่มีต่อมเหงื่อ ไม่มีต่อมน้ำนม ปฏิสนธิภายใน ตัวเมียมีรังไข่ข้างเดียว เส้นประสาทสมองมี 12 คู่ เช่น นกประเภทต่าง ๆ ทั้งที่บินได้และบินไม่ได้
7. Class Mammnlia ได้แก่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เราเรียกสัตว์พวกนี้ว่า แมมมอล (Mammal) เป็นสัตว์เลือดอุ่น มีขนเป็นเส้น ๆ (Hair) คลุมตัว มี 4 ขา มีต่อมเหงื่อ และต่อมน้ำนม มีกระดูกคอ 7ข้อ มีฟันฝังในขากรรไกร มีกล่องเสียง มีกระบังลม หายใจด้วยปอด หัวใจมี 4 ห้อง เม็ดเลือดแดงไม่มีนิวเคลียส ลูกอ่อนเจริญภายในมดลูก สมองส่วนหน้าเจริญดี ได้แก่
-ตุ่นปากเป็ด และตัวกินมด ออกลูกเป็นไข่
-จิงโจ้ มีถุงหน้าท้อง
-สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ ที่ตัวอ่อนมีรก (Placenta) เช่น ลิงกัง ลิงแสม ลิงชิมแปนซี ชะนี เสือ แมว สุนัข สุกร สิงโต หมาใน หมี พังพอน โค กระบือ ช้าง ม้า มนุษย์ หนู ค้างคาว นางอาย ปลาวาฬ โลมา แมวน้ำ สิงโตทะเล ฯลฯ

Phylum Arthropoda


มีเนื้อเยื่อ 3 ชั้น (Triploblastica animal) มีสมมาตรแบบ Bilateral symmetry มีทางเดินอาหารแบบสมบูรณ์ (Complete digestive tract) มีช่องว่างในลำตัวแบบแท้จริง (True coelom) ลำตัวแบ่งเป็นส่วน ๆชัดเจน คือ หัว (Head), อก(Thorax) และท้อง (Abdomen) หรือหัวเชื่อมกับอก (Cephalothorax)เช่น กุ้ง หรืออกเชื่อมกับท้อง มีรยางค์หรือขาต่อกันเป็นข้อ ๆ (Jointed-leg animal) ร่างกายมีเปลือกแข็งหุ้มภายนอก (Exoskeleton) เป็นสารจำพวกไคติน (Chitin) ซึ่งสร้างโดยเซลล์ผิว (Epidermis) การหายใจ พวกที่อาศัยในน้ำใช้เหงือก (Gill) อาศัยอยู่บนบกใช้ท่อลม (Trachea) เช่นแมลง หรือแผงปอด (Book lung) เช่น แมงมุม อวัยวะที่ใช้กำจัดของเสียคือ ต่อมเขียว (Green gland) หรือ Coxal gland เช่น กุ้ง และท่อมัลฟีเกียน (Mulpigian tubules) ในพวกแมลงต่าง ๆ ระบบประสาทมีเส้นประสาทด้านท้อง 1 คู่ (Ventral nerve cord) เห็นแยกกันชัดเจน และมีสมอง (Brain) มีระบบหมุนเวียนเลือดและเป็นแบบวงจรเปิด (Open Circulatory System) มีHaemoceol เป็นช่องว่างให้เลือดไหลผ่านเซลล์ได้ ส่วนใหญ่เลือดมีสีฟ้าอ่อนหรือสีน้ำเงิน เพราะในน้ำเลือดมีสาร Haemocyanin (เป็นสารประเภทคอบเปอร์) อยู่ การเจริญเติบโต มีการลอกคราบ (Molting) เป็นระยะ ๆ จนถึงตัวโตเต็มวัย บางชนิดมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเพื่อการเจริญเติบโต (Metamorphosis) บางพวกมีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศพิเศษ (Parthenogensis) โดยจะมีตัวอ่อนที่ไม่ได้รับการปฏิสนธิเกิดขึ้น เช่น มด ผึ้ง ต่อ อวัยวะรับสัมผัสมีความเจริญดี มีหนวดและขนไว้รับสัมผัส สารเคมีต่าง ๆ เช่น สารฟีโรโมนจากตัวผู้ มีตาประกอบ (Compound eye) รับแสงและอากาศ

สัตว์ในไฟลัมนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น6 Class ได้แก่
1. Class Crusatacea ส่วนมากจะอยู่ในน้ำ มีตาประกอบ มีหนวด 2คู่ มีขา 5คู่ หรือมากกว่า รยางค์เป็น2แขนง ส่วนของหัวเชื่อมกับส่วนอก (Cephalothorax) มีส่วนท้องเรียก แอบโดเมน (Abdomen) ส่วนมากหายใจด้วยเหงือก มีอวัยวะขับถ่ายคือ ต่อมเขียว (Green gland) สัตว์ในคลาสนี้เช่น กุ้งน้ำจืด กุ้งทะเล ปู กั้ง ไรน้ำ ฯลฯ
2. Class Merostoma มีส่วนของหัวเชื่อมกับส่วนอก (Cephalothorax) มีขา 5 คู่ ไม่มีหนวด ได้แก่ แมงดาทะเล แมงดาถ้วย แมงดาจาน
3. Class Archnida ส่วนมากจะอยู่บนบก สัตว์ในคลาสนี้ไม่มีหนวด มีขา4 คู่ ส่วนของหัวเชื่อมกับส่วนอก (Cephalothorax) และส่วนท้องแอบโดเมน (Abdomen) แยกออกหายใจทางช่องลม (Trachea) หรือแผงปอด (Book lung) หรือทั้งสองอย่าง สัตว์ในคลาสนี้แยกเพศกัน ได้แก่ แมงมุม แมงป่อง บึ้ง เห็บ ฯลฯ
4. Class Insecta เป็นคลาสที่มีจำนวนชนิดมากที่สุด ประมาณ 1ล้าน 5 แสนชนิด ได้แก่พวกแมลงต่าง ๆ สัตว์ในคลาสนี้มีหนวด 1 คู่ มีขา 3 คู่ ไม่มีปีกหรือมีปีก 1-2 คู่ มีตาประกอบ มีส่วนของลำตัวแยกออกชัดเจนเป็น 3 ส่วน มีท่อลมเป็นอวัยวะหายใจ มีท่อมัลฟีเกียน (Mulpigian tubules) ไว้ขับถ่าย มีการเจริญเติบโตของตัวอ่อนเป็น 4แบบ ได้แก่ ตัวสามง่าม, ยุง, แมลงวัน, ผีเสื้อ, แมลงปอ, แมลงสาบ, ปลวก, มด, จิ้งหรีด, ตั๊กแตน ฯลฯ
5. Class Diplopoda สัตว์ในคลาสนี้เรียกว่า มิลลิบิด มีขาจำนวนมาก ลำตัวค่อนข้างกลม ยาว ประกอบด้วยส่วนหัว และส่วนอกสั้น ๆ ประกอบด้วยปล้องประมาณ 25 ถึง กว่า100 ปล้อง ไม่มีต่อมพิษ มีหนวด 1 คู่ มีขาปล้องละ 2คู่ มีตาเดี่ยว ได้แก่ กิ้งกือ กระสุนพระอินทร์
6. Class Chilopoda สัตว์ในคลาสนี้เรียกว่า เซนติบิด มีขาจำนวนมาก ประมาณปล้องละ 1 คู่ ลำตัวประกอบด้วยส่วนหัว และลำตัวยาวของอกติดกับท้อง มีประมาณ 15 ถึง 173ปล้อง และปล้องที่หัวมีรยางค์ที่มีพิษอยู่ 1 คู่ มีหนวด 1 คู่ มีตาเดี่ยว เรียกว่า โอเซลลัส (Ocelles) หายใจทางท่อลม ได้แก่ ตะขาบ

Phylum Echinodermata


มีเนื้อเยื่อ 3 ชั้น (Triploblastica animal) มีช่องว่างในลำตัวขนาดใหญ่ บุด้วยซีเลีย ไม่มีปล้อง ขณะเป็นตัวอ่อนมีสมมาตรแบบ Bilateral symmetry เมื่อโตเต็มที่จะมีสมมาตรแบบ Radial symmetry มีทางเดินอาหารแบบสมบูรณ์ (Complete digestive tract) มีปากอยู่ทางด้านท้อง ผิวลำตัวมีลักษณะขรุขระ ภายในมีโครงร่างแข็ง อาจจะเป็นสารประเภทหินปูน ลำตัวแบ่งเป็นแฉก4ถึง5แฉก หรือทวีคูณของ5 ไม่มีส่วนหัวชัดเจน ระบบหมุนเวียนเลือดแยกเป็นแฉก ๆ คล้ายรัศมี ไม่มีเลือด แต่มีของเหลวคล้ายน้ำเหลือง (Coelomic fluid) ทำหน้าที่ไหลเวียนโดยการโบกของซีเลียภายในเยื่อบุผิวในช่องลำตัว ระบบประสาทมีประสาทวงแหวน (Nerve ring) รอบ ๆ ปากและมีประสาทแยกออกไปตามแฉก เซลล์ประสาทเชื่อมโยงเป็นร่างแห จะกระจายอยู่ทั่วตัว ระบบขับถ่ายไม่มีไต มีเซลล์อมีโบไซต์ ในของเหลวในช่องลำตัว ทำหน้าที่กินของเสีย แล้วขับออกไปข้างนอก การเคลื่อนที่ใช้ระบบหมุนเวียนนำส่งไปยังท่อขา (Tube feet) ที่ยืดหดได้ตามแรงดันน้ำ การแลกเปลี่ยนก๊าซ ใช้เหงือกที่เป็นถุงบาง ๆ ยกเว้นปลิงทะเลที่มีอวัยวะคล้ายต้นไม้อยู่ภายในตัวติดกับทวารหนัก มีอวัยวะแยกเพศกันแต่ละตัว ปฏิสนธิภายนอกร่างกาย สืบพันธุ์แบบใช้เพศและไม่ใช้เพศ

แบ่งออกเป็น 5 Class ได้แก่
1. Class Asteroidea เช่น ดาวทะเล
2. Class Ophiuroidea เช่น ดาวเปราะ
3. Class Echinoidea เช่น หอยเม่น อีแปะทะเล
4. Class Holothuroidea เช่น ปลิงทะเล
5. Class Crinoidea เช่น พลับพลึงทะเล

Phylum Mollusca


มีเนื้อเยื่อ 3 ชั้น (Triploblastica animal) มีช่องว่างในลำตัวแบบแท้จริง (True coelom) มีสมมาตรแบบ Bilateral symmetry ลำตัวนิ่ม มีเยื่อบาง ๆ ปกคลุมลำตัวเรียกว่า แมนเทิล (Mantle) สามารถหลั่งสารออกมาเป็นเปลือกแข็ง(Shell)ห่อหุ้มลำตัวได้ ส่วนของร่างกายประกอบด้วยหัวทางด้านหน้า กล้ามเนื้อลำตัวทางด้านบน (Visceral mass) และมีกล้ามเนื้อที่ท้องใช้แทนขา (Foot) ใช้ในการคลานหรือเปลี่ยนแปลงเป็นหนวดช่วยจับเหยื่อ มีระบบหมุนเวียนเลือดและเป็นแบบวงจรเปิด (Open Circulatory System) มีHaemoceol เป็นช่องว่างให้เลือดไหลผ่านเซลล์ได้ ส่วนใหญ่เลือดมีสีฟ้าอ่อนหรือไม่มีสี เพราะในน้ำเลือดมีสาร Haemocyanin อยู่ บางชนิดมีสีแดงเพราะมีสาร Haemoglobin อยู่ หัวใจมี3ห้อง บน1ห้อง ล่าง2ห้อง ระบบการหายใจ ถ้าอยู่บนบกใช้ปอดหรือแมนเทิลที่ผิวหนัง ถ้าอยู่ในน้ำใช้เหงือก มีอวัยวะขับถ่ายคือไต (Kidney) ระบบประสาทมีปมประสาท 3 คู่ มีเส้นประสาทเชื่อมกันทั้งทางยาวและทางขวาง มีอวัยวะรับสัมผัสในการดมกลิ่น รับรส มีอวัยวะรับความรู้สึกในการทรงตัวเรียก Statocyst มีเพศแยกกัน มีการสืบพันธุ์โดยการปฏิสนธิ การเคลื่อนที่อาศัยระบบน้ำผ่าน โดยดูดเข้าแล้วพ่นออกที่ท่อ Siphon

แบ่งออกเป็น 5 Class ได้แก่
1. Class Gastropoda เช่น หอยสังข์, หอยโข่ง, หอยขม และหอยทาก
2. Class PolyPlascophora เช่น ลิ่นทะเล
3. Class Pelecypoda เช่น หอยกาบ, หอยนางรม, หอยแครง, หอยเสียบ
4. Class Scaphopoda เช่น หอยงาช้าง
5. Class Cephalopoda เช่น หมึกกล้วย, หมึกกระดอง,หมึกสาย, หมึกยักษ์

Phylum Annilida


มีเนื้อเยื่อ 3 ชั้น (Triploblastica animal) ลำตัวกลมยาว เป็นข้อปล้องทั้งภายในและภายนอก (Metameric, True segmentation) โดยมีผนังเซปตัม (Septum) กั้นภายใน มีรยางค์ยื่นออกจากร่างกาย เช่น ไส้เดือนดินมี setae (เดือย) แม่เพรียงมี parapodium มีช่องว่างในลำตัวแบบแท้จริง (True coelom) มีสมมาตรแบบ Bilateral symmetry มีผิวหนังเปียกชื้น มีคิวติเคิล (Cuticle) ปกคลุม มีต่อมสร้างเมือก ทำให้ตัวลื่น และแลกเปลี่ยนก๊าซทางผิวหนัง เป็นพวกแรกที่มีระบบหมุนเวียนเลือดและเป็นแบบวงจรปิด (Close Circulatory System) มีหัวใจเทียม (Psudoheart) เลือดมีสีแดง โดยมีสารฮีโมโกลบินอยู่ในน้ำเลือด เม็ดเลือดไม่มีสี มีรูปร่างคล้ายอมีบา มีทางเดินอาหารแบบสมบูรณ์ (Complete digestive tract) มีระบบประสาทเจริญดี มีวงแหวนประสาทบริเวณคอหอย ด้านบนมีปมประสาท 2 พู ทำหน้าที่เป็นสมอง มีเส้นประสาทใหญ่อยู่ทางด้านท้องยาวตลอดตัว (Ventral nerve cord) ระบบขับถ่าย มีอวัยวะเฉพาะ ทำหน้าที่ขับถ่าย เรียก เนฟริเดียม (Nephridium) ประกอบด้วยท่อขดไปมา ปลายเป็นปากแตรเปิด ส่วนมากมี 2 เพศในตัวเดียว (Monoecious) ยกเว้นพวกแม่เพรียงและหนอนทะเล

แบ่งออกเป็น 3 Class ได้แก่
1. Class Oligochaeta เช่น ไส้เดือนดิน
2. Class Polychaeta เช่น แม่เพรียง ไส้เดือนทะเล
3. Class Hirudinea เช่น ปลิงน้ำจืด ปลิงดูดเลือด ปลิงควาย ปลิงเข็ม
4. Class Archiannelida เช่น แอนนีลิด ที่มีขนาดเล็กมาก เรียกว่า หนอนทะเล

Phylum Nemathelminthes


มีเนื้อเยื่อ 3ชั้น (Triploblastica animal) ลำตัวกลม ยาว เรียวหัว-ท้าย ไม่มีข้อปล้อง (non metameric) ไม่มีรยางค์ ผิวลำตัวปกคลุมด้วยสารคิวติน (Cuticle) เพื่อป้องกันน้ำย่อยจาก Host มีสมมาตรแบบ Bilateral symmetry มีช่องว่างในลำตัวแบบไม่แท้จริง (Psudocoelom) ยังไม่มีระบบเลือด ไม่มีระบบหายใจ พวกที่เป็นปาราสิตจะหายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจน พวกที่อิสระก็จะหายใจทางผิวหนัง มีระบบทางเดินอาหารแบบสมบูรณ์ (Complete digestive tract) เป็นพวกแรก ระบบขับถ่ายประกอบด้วยต่อมเรนต์ (renettle gland) ท่อขับถ่ายทางด้านข้างลำตัว (Lateral excretory canal) ไม่มีเฟลมเซลล์ มีปมประสาทใหญ่ จัดเป็นสมอง มีลักษณะเป็นวงแหวน (Nerve ring) อยู่รอบคอหอย ติดต่อกับเส้นประสาทใหญ่ทางด้านท้อง (Ventral nerve cord) และด้านหลัง (Dorsal nerve cord) ตลอดลำตัว มีกล้ามเนื้อเฉพาะตามยาวเท่านั้น จึงได้แต่งอตัวไปมา เป็นพวกแยกเพศ (Dioecious) ตัวเมียมักมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้

สามารถแบ่งตามประเภทการดำรงชีวิตได้ 3ประเภท
1. พยาธิตัวกลมในลำไส้ เช่น พยาธิเส้นด้าย, พยาธิปากขอ, พยาธิไส้เดือนตัวกลม, พยาธิแส้ม้า
2. พยาธิตัวกลมในเนื้อเยื่อ เช่น พยาธิโรคเท้าช้าง, พยาธิตัวจี๊ด
3. พยาธิตัวกลมที่เป็นอิสระ เช่น หนอนน้ำส้มสายชู, หนอนในน้ำเน่า, ไส้เดือนฝอย

Phylum Plathyhelminthes


มีเนื้อเยื่อ 3ชั้น (Triploblastica animal) เป็นพวกแรก ไม่มีช่องว่างภายในลำตัว (Acoelomate) ลำตัวแบนด้านบนด้านล่าง ยกเว้นใบไม้ในเลือดที่มีลำตัวกลม ไม่มีข้อหรือปล้องที่แท้จริง (non metameric) มีสมมาตรแบบBilateral symmetry มีระบบทางเดินอาหารไม่สมบูรณ์ (Incomplete digestive tract) ยกเว้นพยาธิตัวตืดไม่มีระบบทางเดินอาหาร ไม่มีระบบหมุนเวียนเลือด ไม่มีอวัยวะหายใจ โดยพวกปรสิตจะสามารถหายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจน ส่วนพวกที่อิสระสามารถหายใจทางผิวหนังได้ เป็นพวกแรกที่มีระบบขับถ่าย และระบบประสาท โดยมีอวัยวะกาขับถ่ายคือ เฟลมเซลล์ (Flame cell) แทรกอยู่ตามร่างกายทั่วไป และมีปมประสาทแบบเส้นประสาท ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางระบบประสาท ปมประสาทขนาดใหญ่อยู่ด้านบน คล้ายสมองแตกแขนงไปทางด้านข้างของร่างกาย มีกล้ามเนื้อทางตามยาวและตามขวาง สลับกันหดตัวเรียก Antagonism โดยเป็นสัตว์พวกแรกที่มีระบบ Antagonism ระบบสืบพันธุ์เจริญดีมาก มี2เพศในตัวเดียวกันเรียกว่าเป็นกระเทย (Hernaphrodite) สามารถผสมพันธุ์กันเองในตัวเดียวกัน และผสมพันธุ์ข้ามตัว ในพยาธิตัวตืด ในพยาธิตัวตืด การเพิ่มจำนวนข้อปล้อง จัดว่าเป็นการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ

แบ่งออกเป็น 3 Class ได้แก่
1. Class Turbellaria เช่น พลานาเรีย ซึงดำรงชีพโดยหากินอย่างอิสระ
2. Class Trematoda เช่น พยาธิใบไม้ชนิดต่าง ๆ ซึ่งดำรงชีพโดยการเป็นปาราสิต
3. Class Cestoda เช่น พยาธิตัวตืด ซึ่งดำรงชีพโดยเป็นปาราสิต

Phylum Coelenterata


ประกอบด้วยผนังลำตัว 2 ชั้น เรียกว่า Diploblastica มีชั้นนอก (ectoderm) มีชั้นใน (endoderm) มีเยื่อกั้นกลางเรียก Mesoglea กินทางปากถ่ายทางปาก ตรงกลางมีช่อง gastrovascular cavity ทำหน้าที่เป็นทางเดินอาหาร แลกเปลี่ยนก๊าซ และหายใจ จึงจัดได้ว่าเป็นพวกแรกที่มีระบบทางเดินอาหารแต่ไม่สมบูรณ์ไม่มีระบบหายใจ ทางเดินอาหาร ขับถ่าย หมุนเวียนเลือด มีรูปร่างแบบ radial symmetry มีประสาทแบบ Nerve Net ร่างแหประสาท มีtentacle รอบปาก โดยมีลักษณะที่สำคัญคือ มีเซลล์พิเศษ (Cninoblast) ภายในมีเข็มพิษ (nematocyte) สำหรับป้องกันตัวหรือล่าเหยื่อ มีทั้งการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศและแบบอาศัยเพศ โดยการสร้างอวัยวะสืบพันธุ์ บางชนิดสืบพันธุ์สลับ (Metagenesis) เช่น Obelia บางชนิดเป็นกระเทย เช่น Hydra สัตว์จำพวกนี้ได้แก่ ไฮดรา, แมงกะพรุน, กัลปังหา, ปะการังต่าง ๆ, ดอกไม้ทะเล (sea anemone), โอบีเลีย, ปากกาทะเล

แบ่งออกเป็น 3 Class ได้แก่
1. Hydrozoa ส่วนใหญ่มีรูปร่างเป็น Polyp บางช่วงเป็น Medusa อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม (Colony) เช่น โอบีเลีย แมงกระพรุนน้ำจืด แมงกระพรุนลอย และไฮดรา
2. Scyphozoa ส่วนใหญ่มีรูปร่างเป็น Medusa (รูปร่างคล้ายร่ม ว่ายน้ำได้อิสระ) เช่น แมงกระพรุนไฟ แมงกระพรุนจาน
3. Anthozoa มีรูปร่างเป็นแบบ Polyp เท่านั้น อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีการสร้างสารหินปูนเป็นเปลือกหุ้มเช่น พวกปะการัง หรือ กัลปังหา

Phylum Coelenterata

ประกอบด้วยผนังลำตัว 2 ชั้น เรียกว่า Diploblastica มีชั้นนอก (ectoderm) มีชั้นใน (endoderm) มีเยื่อกั้นกลางเรียก Mesoglea กินทางปากถ่ายทางปาก ตรงกลางมีช่อง gastrovascular cavity ทำหน้าที่เป็นทางเดินอาหาร แลกเปลี่ยนก๊าซ และหายใจ จึงจัดได้ว่าเป็นพวกแรกที่มีระบบทางเดินอาหารแต่ไม่สมบูรณ์ไม่มีระบบหายใจ ทางเดินอาหาร ขับถ่าย หมุนเวียนเลือด มีรูปร่างแบบ radial symmetry มีประสาทแบบ Nerve Net ร่างแหประสาท มีtentacle รอบปาก โดยมีลักษณะที่สำคัญคือ มีเซลล์พิเศษ (Cninoblast) ภายในมีเข็มพิษ (nematocyte) สำหรับป้องกันตัวหรือล่าเหยื่อ มีทั้งการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศและแบบอาศัยเพศ โดยการสร้างอวัยวะสืบพันธุ์ บางชนิดสืบพันธุ์สลับ (Metagenesis) เช่น Obelia บางชนิดเป็นกระเทย เช่น Hydra สัตว์จำพวกนี้ได้แก่ ไฮดรา, แมงกะพรุน, กัลปังหา, ปะการังต่าง ๆ, ดอกไม้ทะเล (sea anemone), โอบีเลีย, ปากกาทะเล

แบ่งออกเป็น 3 Class ได้แก่
1. Hydrozoa ส่วนใหญ่มีรูปร่างเป็น Polyp บางช่วงเป็น Medusa อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม (Colony) เช่น โอบีเลีย แมงกระพรุนน้ำจืด แมงกระพรุนลอย และไฮดรา
2. Scyphozoa ส่วนใหญ่มีรูปร่างเป็น Medusa (รูปร่างคล้ายร่ม ว่ายน้ำได้อิสระ) เช่น แมงกระพรุนไฟ แมงกระพรุนจาน
3. Anthozoa มีรูปร่างเป็นแบบ Polyp เท่านั้น อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีการสร้างสารหินปูนเป็นเปลือกหุ้มเช่น พวกปะการัง หรือ กัลปังหา

Phylum Porifera


สัตว์ในไฟลัมนี้ได้แก่ สัตว์จำพวกฟองน้ำ (Sponge) มีลักษณะสำคัญคือ ร่างกายสามารถแบ่งได้แบบ Radial symmetry หรือ Asymmetry ก็ได้ มีลำตัวพรุน (Incurrent pore) ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์หลายชนิด โดยแบ่งกันทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ ไม่มีการประสานงานกันระหว่างเซลล์ ลำตัวมีช่องเล็ก ๆ รอบตัวเรียก (Ostia) เพื่อให้น้ำหรืออาหารไหลเข้าไปในลำตัวได้ และตอนบนมีช่องเปิดให้น้ำออก (Ostia) ผนังลำตัวประกอบด้วยเซลล์รวมกันเป็นสองชั้น เซลล์ข้างในมีแฟลกเจลลัม (Flagellum) ทำหน้าที่พัดน้ำ และมีเซลล์พิเศษที่ทำหน้าที่ดูดอาหารเข้าไปและย่อยอาหารคือ Choanocyte (Collar cell) ตรงกลางมีของเหลวคล้ายวุ้นเรียก Amebocyte ฟองน้ำเป็นสัตว์ที่ไม่เคลื่อนที่ (Sessile Animal)จะเกาะติดกับโขดหินหรือของแข็งใต้น้ำ บางชนิดมีโครงร่างแข็งเรียก spicule บางชนิดอ่อนนุ่มเรียก spongin

ฟองน้ำสืบพันธุ์ได้ 2 แบบ คือ
1. แบบไม่อาศัยเพศ คือ แตกหน่อ (Budding) หรือสร้าง Gemmule โดยใช้ Amebocyte 2-3 เซลล์มาสร้างเปลือกหุ้มในสภาวะแห้งแล้ง เมื่อถึงสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เปลือกก็จะหลุดออกและเจมมูล (Gemmule) จะสามารถเจริญเติบโตต่อไปได้และสร้างเซลล์สืบพันธุ์ (Archeocyte) ต่อไป
2. แบบอาศัยเพศ โดยอาศัยเซลล์ Archeocyte สร้างอสุจิกับไข่มาผสมกัน เกิดไซโกต กลายเป็นฟองน้ำต่อไป

แบ่งออกเป็น 3 Class ได้แก่
1. Class Calcarea ได้แก่ฟองน้ำที่มีแกนแข็ง เป็นพวกหินปูน (CaCO3)
2. Class Hexactinellida ได้แก่ฟองน้ำที่มีแกนแข็งเป็นพวกแก้วหรือทราย (Silica)
3. Class Demospongiae ได้แด่ฟองน้ำถูตัวที่มีแกนอ่อนนุ่ม ประกอบด้วยสารประเภท Scleroprotien

ลักษณะสำคัญ

สัตว์มีลักษณะสำคัญ ได้แก่
1. ประกอบด้วยเซลล์ประเภทยูคารีโอตเซลล์ (Eucaryotic Cell) เป็นเซลล์ที่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส มีองค์ประกอบต่าง ๆ ที่สำคัญภายในเซลล์
2. ประกอบด้วยเซลล์จำนวนหลายเซลล์ รวมกันเป็นเนื้อเยื่อ (tissue) หรือเป็นอวัยวะ (organ) ต่าง ๆ ซึ่งสามารถทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งได้
3. ไม่มีผนังเซลล์ และไม่มีคลอโรพลาสต์ ดังนั้นจึงไม่สามารถสร้างอาหารเองได้โดยขบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงจึงเรียกว่า Heterotrophic organism (Heterotroph)
4. ดำรงชีพโดยการเป็นผู้บริโภค คือ ต้องอาศัยสารอินทรีย์จากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น โดยการกิน อาจจะกินพืช กินสัตว์ หรือกินทั้งพืชและสัตว์
5. สามารถเคลื่อนที่ได้รวดเร็ว หรือเคลื่อนทีช้า หรือบางชนิดก็ไม่เคลื่อนที่เลย เช่นปะการัง,ฟองน้ำ เป็นต้น
6. สัตว์ส่วนมากจะมีระบบประสาท ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ให้ทำงานประสานกัน หรือใช้รับความรู้สึก เมื่อมีสิ่งใดมาสัมผัส จึงสามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้
7. สัตว์ส่วนมากจะมีโครงร่างแข็ง (Skeleton) เพื่อเป็นที่ยึดเกาะของกล้ามเนื้อ และทำหน้าที่ปกป้องอวัยวะภายในได้ด้วย เช่น ปู กุ้ง หอย เป็นต้น
8. เนื้อเยื่อ และระบบต่าง ๆ จะซับซ้อนกว่าพืชมากและทำหน้าที่อย่างเฉพาะเจาะจง
9. หลังจากสืบพันธุ์หรือมีการปฏิสนธิเกิดขึ้นจะมีระยะตัวอ่อน (Embryo) พักหนึ่ง
เกณฑ์เฉพาะในการจำแนกสัตว์
1. พิจารณาจากรูปแบบของสมมาตร
1.1 Asymemetry ไม่สมมาตร คือไม่สามารถแบ่งร่างกายออกเป็นสองส่วนที่เหมือนกันได้ เช่น อมีบา
1.2 Bilateral symmetry คือ สามารถแบ่งร่างกายออกเป็นสองส่วนที่เท่า ๆ กันได้
1.3 Radial symmetry สมมาตรในแนวรัศมี คือ สามารถแบ่งร่างกายออกเป็นสองส่วนให้มีลักษณะเหมือนกันได้หลายแนว โดยตัดผ่านจุดศูนย์กลางตามแนวรัศมี เช่น ฟองน้ำบางชนิด แมงกะพรุน และดาวทะเล
1.4 Sperical หรือ Universal symmetry สามารถแบ่งร่างกายออกเป็นสองส่วนที่เหมือนกันได้ทุกระนาบโดยผ่านจุดศูนย์กลางเช่นกัน ได้แก่ Volvox

2. พิจารณาจากจำนวนชั้นของเนื้อเยื่อ (Germ layer)
2.1 Diploblastica จะมีเนื้อเยื่อเพียงสองชั้นคือ เนื้อเยื่อชั้นนอก(ectoderm) และเนื้อเยื่อชั้นใน(endoderm)
2.2 Triploblastica จะมีเนื้อเยื่อ สามชั้น คือ มีเนื้อเยื่อชั้นกลางเพิ่มเข้ามาคือ Mesoderm ได้แก่ สัตว์จำพวกหนอนตัวแบนขึ้นไป

3. พิจารณาจากช่องว่างภายในลำตัว (coelom)
3.1 Acoelomate animal คือสัตว์ที่ไม่มีช่องว่างภายในลำตัวเช่น หนอนตัวแบน (Phylum Platyhelminthes)
3.2 Psudocoelomate animal (Psudocoelom) คือสัตว์ที่มีช่องว่างแบบเทียม จะมีช่องว่างที่อยู่ระหว่าง เนื้อเยื่อชั้นนอกกับชั้นกลาง หรือเนื้อเยื่อชั้นกลางกับชั้นใน เช่น หนอนตัวกลม (Phylum Nemathehelminthes)
3.3 Eucoelomate animal (True coelom) คือสัตว์ที่มีช่องว่างภายในลำตัวแบบแท้ เกิดจากเนื้อเยื่อชั้นกลางแยกตัวออกไปเป็นช่อง เช่น ไส้เดือนดิน และสัตว์ชั้นสูง เป็นต้น

4. พิจารณาจากการแบ่งส่วนลำตัวเป็นข้อปล้อง (Segmentation)
4.1 Non metameric คือแบ่งเป็นข้อปล้องเฉพาะภายนอก เกิดที่ลำตัวเท่านั้น ไม่ได้เกิดตลอดทั้งตัว เช่น พยาธิตัวตืด,หนอนตัวกลม, เอคไคโนเดิร์ม และมอลลัสกา
4.2 Metameric คือแบ่งเป็นข้อปล้องอย่างแท้จริง โดยเกิดตลอดลำตัว เกิดจากเนื้อเยื่อชั้นกลาง เนื้อเยื่อชั้นอื่นจึงเกิดข้อปล้องไปด้วย เช่น ไส้เดือนดิน กุ้ง ปู และสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง

5. พิจารณาจากการมีระบบเลือด
5.1 สัตว์ที่ยังไม่มีระบบเลือด เช่น ฟองน้ำ,ซีเลนเทอเรต, หนอนตัวแบนและ หนอนตัวกลม
5.2 สัตว์ที่มีระบบเลือดแบบวงจรเปิด เช่น อาร์โทรพอด, มอลลัสก์ และปลาดาว เป็นต้น
5.3 สัตว์ที่มีระบบเลือดแบบวงจรปิด เช่น ไส้เดือนดิน และสัตว์ชั้นสูง

6. พิจารณาจากลักษณะทางเดินอาหาร
6.1 ทางเดินอาหารแบบไม่แท้จริง (Channel network) เป็นเพียงช่องว่างแบบร่างแห เป็นเพียงทางผ่านของน้ำจากภายนอกเข้าสู่ลำตัว เช่น ฟองน้ำ
6.2 ทางเดินอาหารแบบไม่สมบูรณ์ (Incomplete digestive tract) มีลักษณะคล้ายถุง มีช่องเปิดช่องเดียว เป็นทางเข้าและออกของอาหาร เช่นพวกซีเลนเทอเรต และหนอนตัวแบน
6.3 ทางเดินอาหารสมบูรณ์ (Complete digestive tract)เป็นท่อกลวง มีท่อเปิด 2ทาง เป็นทางเข้า และทางออกคนละทางกัน ได้แก่ หนอนตัวกลม, ไส้เดือนดิน, แมลง, มอลลัสก์, สัตว์ชั้นสูง

7. พิจารณาจากแกนพยุงร่างกาย หรือโนโตคอร์ต (Notochord) แล้วจึงกลายเป็นกระดูกสันหลังหรือไม่

8. พิจารณาจากแบบแผนการเจริญเติบโตจากตัวอ่อนว่ามี ช่องเหงือก (Gill slit) หรือไม่

การจำเเนกจำพวกสัตว์

การจำเเนกจำพวกสัตว์
เเบ่งสัตว์เป็น 9 ไฟลัม เกือบทุกไฟลัมเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ( invertebrate ) ซึ่งมีจำนวนล้านกว่าสปีชีส์
หรือมากกว่า 90 % ของสัตว์ทั้งหมด สัตว์ที่มีจำนวนมากที่สุด คือ เเมลง มีไฟลัมเดียวเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลัง
( vertebrate ) มีจำนวนประมาณ 80,000 สปีชีส์ เเละมนุษย์ คือ สปีชีส์หนึ่งในไฟลัมสุดท้ายนี้ด้วย
เกณฑ์ทีใช้จัดจำพวกสัตว์มีหลายเกณฑ์ ซึ่งคำนึงถึงวิวัฒนาการเป็นหลัก

สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
1. ไฟลัมพอริเฟอรา ( Polifera ) พวกฟองน้ำ
2.ไฟลัมซีเลนเทอราตา ( Coelenterata ) ไฮดรา เเมงกะพรุน ดอกไม้ทะเล ปะการังกัลปังหา
3. ไฟลัมเเพลทีเฮลมินเทส ( Platyhelminthes ) หนอนตัวเเบนต่างๆ เช่น พลานาเรีย พยาธิในไม้ พยาธิตัวตืด
4.ไฟลัมเนทาโทดา ( Nematoda ) หนอนตัวกลมต่างๆ เช่น พยาธิปากขอ พยาธิเส้นด้าย พยาธิไส้เดือนฝอย พยาธิโรคเท้าช้าง พยาธิเเส้ม้า พยาธิไส้เดือน ตัวจิ๊ด หนอนในน้ำส้มสายชู
5. ไฟลัมเเอนเนลิดา ( Annelida )ไส้เดือนดิน เเม่เพรียง ( ไส้เดือนทะเล ) ปลิงน้ำจืด
6. ไฟลัมอาร์โทรโพดา ( Athropoda )มี 6 คลาส คือ
- อินเซ็คตา ( Insecta )เเมลง เช่นผึ้ง ครั่ง เเมลงสาบ ผีเสื้อ หมัด
- ครัสเตเซีย ( Crustacea ) กุ้ง กั้ง ปู ไรน้ำ( ไรเเดง ) เพรียงหิน ตัวกะปิ
- อะเเรชนิดา ( Arachnida )เเมงมุม เเมงป่อง เห็บ ไร
- เมอโรสโตมา ( Merstoma ) เเมงดาทะเล
- ชิโลโพดา ( Chilopoda )ตะขาบ
- ไดโพลโพดา ( Diplopoda ) กิ้งกือ
7. ไฟลัมมอลลัสกา ( Mollusca ) พวกหอย เป๋าฮื้อ หมึก ลิ่นทะเล ทาก หอยทาก
8.ไฟลัมเอไดโนเดอมาตา ( Echinodermata )ดาวทะเล หอยเม่น ปลิงทะเล อีเเปะทะเล พลับพลึงทะเล
9. ไฟลัมคอร์ดาตา ( Chordata ) มี 3 ซับไฟลัม
- ยูโรคอร์ดาตา ( Urochordata ) เพรียงหัวหอม เพรียงลอย เพรียงสาย
- เซฟาโลคอร์ดาตา ( Cephalochodata )เเอมฟิออกซัส

ลักษณะร่วมที่สำคัญของพวกสัตว์

1. เป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ที่สร้าวอาหารเองไม่ได้ ( many celled heterotroph ) ส่วนใหญ่ดำรงชีวิตโดยกินอาหาร
ทางปาก ( ingestion )
2. ส่วนใหญ่เคลื่อนที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้รวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการออกหาอาหาร การเคลื่อนที่เกิดจากการ
หดตัวของเซลล์กล้ามเนื้อ เเละถูกควบคุมด้วยระบบประสาท
3. สัตว์ทุกชนิดยกเว้นปรสิต มีช่องในร่างการที่บุผิวด้วยเซลล์ที่ทำหน้าที่ย่อยเเละดูดซึมอาหาร ( digestive cavity )
4. ร่างกายสัตว์ทุกชนิดประกอบด้วย เนื้อเยื่ออย่างน้อย 2 ชั้น ชั้นนอก ( ectoderm ) เเละชั้นใน ( endoderm )
ซึ่งบุทางเดินอาหาร เเต่สัตว์ส่วนใหญ่ร่างกายประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น คือ มีชั้นกลาง ( mesoderm ) ด้วยเเละส่วน
ใหญ่มีช่องลำตัว ( coelom ) ซึ่งเป็นช่องในเนื้อเยื่อชั้นกลาง
5. ร่างกายสัตว์เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่ จะมีขนาดเเละรูปร่างคงที่
6. ร่างกายสัตว์ต้องมีการกำจัดของเสียที่เกิดจากการเมตาบอลิซึมของเซลล์ ( ได้เเก่ คาร์บอนไดออกไซด์ เเละของเสีย
ไนโตรเจน ) ออกจากร่างกาย สัตว์ขนาดใหญ่จะมีระบบทำหน้าที่เฉพาะ